รู้ลึก "วัณโรค" การติดต่อ การตรวจ และการรักษา


     วัณโรคเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Mycobacterium tuberculosis ซึ่งจะพบได้บ่อยว่าทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอด ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อในส่วนอื่นของร่างกายก็ได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง วัณโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาแต่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6 เดือน วัณโรคยังเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายที่สำคัญเมื่อมีอาการแล้วไม่ได้รับตรวจและการรักษาโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่ว่าวัณโรคเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ในแต่ละปียังพบผู้ป่วยใหม่ถึงปีละ 8 ล้านคน

วัณโรคติดต่อได้อย่างไร
     เชื้อวัณโรคจะแพร่กระจายไปในอากาศจากคนที่ป่วยที่เป็นวัณโรค เชื้อแบคทีเรียจะอยู่ในละอองน้ำลายจากการ ไอ จาม ถ้าหากใครสูดอากาศที่มีละอองนี้ก็ไปในร่างกายก็จะได้รับเชื้อเป็นผู้สัมผัสโรคหรือที่เรียกว่า contact ผู้ที่สัมผัสโรคอาจจะไม่ได้เกิดโรควัณโรคในทันทีในบางรายที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายดี ก็จะสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียนี้ได้โดยที่ไม่มีการติดเชื้อ แต่ในบางรายภูมิคุ้มกันของร่างกายจะจัดการควบคุมแบคทีเรียไว้ในร่างกายไม่ให้เกิดอาการ แต่อาจจะทำให้เกิดโรคขึ้นมาได้ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ สถิติที่น่าตกใจก็คือมีคนมากถึง 1 ใน 3 ที่เคยได้รับเชื้อและอยู่ในระยะที่เชื้อถูกภูมิคุ้มกันกดไว้ เรียกว่า Latent TH (ระยะแฝง)

Latent TB - ในช่วงนี้เป็นระยะที่วัณโรคไม่ได้มีผลต่อร่างกายจะไม่มีอาการใดๆ และจะไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ ในแถบประเทศที่ไม่ค่อยพบวัณโรคเช่นยุโรปอเมริกา หากสามารถตรวจพบว่า
ผู้ป่วยอยู่ในระยะนี้อาจจะให้รักษาเพื่อป้องกันการเกิดโรคแต่สำหรับในบ้านเราไม่นิยมให้การรักษากลุ่มนี้เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการทำให้ติดเชื้อดื้อยาได้

Active TB - ในกลุ่มนี้เป็น Latent TB ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจจะเกิดการกลับมาแสดงอาการของโรคได้ โดยเฉพาะเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลงจนไม่สามารถควบคุมเชื้อโรค
เชื้อแบคทีเรียจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการของวัณโรคขึ้น ความเสี่ยงสูงสุดในการเกิดโรคมักเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีแรก หลังจากได้รับเชื้อมักจะพบในผู้ป่วย HIV เบาหวาน ผู้ที่ได้รับยาคีโมหรือสเตียรอยด์

การตรวจเบื้องต้นเพื่อคัดกรองวัณโรคระยะแฝง
     การทดสอบผิวหนังที่เรียกว่า PP test เป็นการตรวจที่นิยมมากที่สุดโดยเฉพาะในต่างประเทศ

ใครที่ควรตรวจ PP skin test
- บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรค
- คนที่สัมผัสกับผู้ป่วยวัณโรค ถ้าผลเป็น negative ควรทำซ้ำอีกครั้งใน 8 - 10 สัปดาห์
- คนที่รักษาโรคด้วยยาที่กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การตรวจเลือด
     สามารถทำได้แทนการใช้การตรวจผิวหนัง ซึ่งจะให้ผลที่ชัดเจนแปลผลได้ง่ายและผู้ถูกทดสอบที่ไม่ต้องกลับมาอ่านผลแบบในการตรวจผิวหนัง

การตรวจเพิ่มเติมเมื่อผลตรวจเป็นบวก
     ถ้าผลการทดสอบเป็นบวกจะต้องทําการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจร่างกายว่ามีต่อมน้ำเหลืองโตหรือไม่ การตรวจเอกซเรย์ปอดเพื่อตรวจดูว่ามีการป่วยเป็นวัณโรคแบบเฉียบพลันหรือแบบแสดงอาการหรือไม่ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการวางแผนรักษาต่อไป ในต่างประเทศจะให้การรักษาแม้แต่ในกลุ่มที่เป็นการติดเชื้อแฝง Latent TB โดยจะให้ยารักษาวัณโรคตัวอย่าง เช่น Isoniazid รับประทานต่อเนื่องวันละเม็ดเป็นเวลา 9 เดือน ยากลุ่มนี้อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากเช่น ตับอักเสบ จึงต้องพบแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อติดตามอาการ

ผู้ป่วยวัณโรค Active Tuberculosis
     การติดเชื้อวัณโรคที่พบบ่อยที่สุดคือการติดเชื้อที่ปอด อวัยวะอื่นที่พบได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง ไตและกระดูก

อาการของผู้ป่วยวัณโรค
     เมื่อร่างกายอ่อนแอลงและเชื้อวัณโรคมีการแบ่งจำนวนเพิ่มขึ้นจนทำให้มีอาการของวัณโรค อาการที่พบได้ทั่วไปคือมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้ และมีเหงื่อออกตอนกลางคืน ถ้าอาการติดเชื้อแย่ลง จะมีการไอมีเสมหะ บางครั้งอาจมีเลือดปน เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ

การตรวจเสมหะและการเพาะเชื้อ
     จะทำการตรวจหาเชื้อและการตรวจเพาะเชื้อจากเสมหะ การเก็บเสมหะจะให้เก็บเสมหะโดยให้พยายามไอเอาเสมหะที่อยู่ลึกๆ ออกมา การตรวจโดยวิธีอื่น เช่น การส่องกล้องหรือการตรวจชิ้นเนื้อ อาจะพิจารณาทำในบางราย

การตรวจเลือด
     นอกเหนือจากการเอกซเรย์ปอดแล้วยังสามารถตรวจยืนยันการติดเชื้อได้ด้วยการตรวจเลือด

การรักษา
     ส่วนใหญ่จะต้องให้การรักษาด้วยยารักษาวัณโรค 4 ชนิดพร้อมกัน และต้องรับประทานยาตามแพทย์แนะนำอย่างน้อย 6 เดือน แต่ถ้าเกิดเป็นเชื้อโรคชนิดที่ดื้อยาอาจจะต้องใช้ยาถึง 6 ชนิด

หากต้องดูแลผู้ป่วยสิ่งที่ต้องทำคือ
- แยกสำหรับ จาน ชาม ช้อนส้อม ล้างมือบ่อย ๆ
- ให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากรวมทั้งผู้ดูแลใกล้ชิดด้วย ดูแลให้รับประทานยาให้ครบตามกำหนดทุกวันเพื่อป้องกันการดื้อยา
  
     วัณโรคเป็นโรคที่รักษาได้ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการดื้อยา

วัณโรค อาการของโรค และการรักษา